จุดประสงค์ของการจัดทำบล็อกนี้ เพื่อต้องการเผยแพร่ความรู้ทางปรัชญาแก่นักศึกษาและผู้สนใจโดยทั่วไป
ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับเทววิทยา
ความหมายของเทววิทยา
เทววิทยา (Theology) เป็นคำที่มาจากรากศัพท์ภาษากรีกสองคำคือ Theos (พระเจ้า) และLogos (ถ้อยคำ คำสอน หรือศาสตร์) ฉะนั้น ในแง่เฉพาะเจาะจง จึงหมายถึงหลักคำสอนอันว่าด้วยเรื่องพระเจ้า แต่หากพิจารณาความหมายซึ่งใช้กันทั่วไป หมายถึงหลักคำสอนไม่เฉพาะแต่เรื่อง พระเจ้าเท่านั้น ยังรวมถึงหลักคำสอนทั้งหลายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่างๆของพระเจ้ากับจักรวาลอีกด้วย
เทววิทยา เป็นวิชาที่กล่าวถึงความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้า (ความหมายตามรูปศัพท์) มีปรากฏชัดในศาสนาประเภทเทวนิยม (Theistic Religion) ที่ยอมรับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่อยู่เหนือตน เทววิทยากล่าวถึงกำเนิดของพระเจ้า คุณสมบัติของพระเจ้า การเข้าถึงพระเจ้า การปฏิบัติตัวต่อพระเจ้า การลงโทษของพระเจ้าต่อผู้ที่ละเมิดพระบัญญัติ ความมีอยู่จริงของพระเจ้า (แสวง แสนบุตร, 2545: 5)
อดิศักดิ์ ทองบุญ กล่าวว่า โดยทั่วไปคำว่า “เทวนิยม” (Theism) หมายถึงลัทธิที่เชื่อว่า มีพระเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่พระองค์เดียว พระเจ้านั้นทรงมีอำนาจครอบครองโลก และสามารถดลบันดาลความเป็นไปในโลก
เทวนิยมทางอภิปรัชญาจะเน้นว่าพระเจ้ามีอยู่จริง คือเป็นสัตที่มีอยู่อย่างเที่ยงแท้ถาวร ไม่ใช่เป็นเพียงอุดมคติอย่างที่นักปรัชญาธรรมชาตินิยมบางพวกเข้าใจ เพราะนักปรัชญาธรรมชาตินิยมนำเอาพระเจ้า (God) ไปใช้หมายถึง มโนภาพอย่างหนึ่ง (a concept) ซึ่งผูกยึดค่านิยมหรือเป้าประสงค์ของมนุษย์ให้รวมเข้าเป็นเอกภาพอย่างหนึ่งนั้น พระเจ้าของนักปรัชญาธรรมชาตินิยมจึงเป็นเพียงอุดมคติเท่านั้น ไม่ใช่สัตอย่างที่นักปรัชญาเทวนิยมหมายถึง ด้วยเหตุนี้จึงถือกันว่า นักปรัชญาธรรมชาตินิยมเป็นอเทวนิยม (atheism)
ปรัชญาตะวันตกส่วนมากที่สืบทอดเป็นปรัมปราประเพณีนั้นล้วนเป็นปรัชญาฝ่ายเทวนิยมทั้งสิ้นและระบบอภิปรัชญาส่วนมากซึ่งพัฒนามาจากศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ต่างก็ถือเอาความมีอยู่ของพระเจ้าผู้สร้างโลกเป็นจุดเริ่มต้นของอภิปรัชญานั้นๆเหมือนกัน แม้ในปรัชญากรีกรุ่นแรกๆก็ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นธรรมชาตินิยมอย่างเด่นชัด แต่ประเพณีนิยมทางอภิปรัชญาที่มีอิทธิพลคืออภิปรัชญาของเพลโตและอริสโตเติล เป็นฝ่ายเทวนิยมเช่นเดียวกัน ในสมัยใหม่แม้เมื่อธรรมชาตินิยมได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ระบบอภิปรัชญาเทวนิยมก็เกิดตามมามากมาย หลักปรัชญาเทวนิยมสมัยใหม่แตกต่างจากเทวนิยมสมัยก่อนที่เห็นก็คือ ได้เพิ่มระดับปัจเจกนิยมให้มากขึ้นและลดความไว้วางใจในข้อสมมติฐานของประเพณีนิยมทางศาสนาให้น้อยลง
นอกจากคำเทวนิยมแล้วยังมีอีกหลายคำที่ใช้กันมากในอภิปรัชญาคือ เทววิทยา (Theology) คำนี้มีนิยามว่าวิชาว่าด้วยพระเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับโลกและถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของอภิปรัชญา เทววิทยามี 2 แบบคือ
1. เทววิทยาธรรมชาติ (natural theology)
2. เทววิทยาวิวรณ์ (revealed or sacred theology)
วัฒนธรรมทางศาสนาของยุโรปสมัยกลางเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า มีแหล่งเกิดความรู้ที่
เชื่อถือได้อยู่ 2 แหล่งเท่านั้น คือ จากวิวรณ์ (revelation) กับเหตุผลของมนุษย์ (human reason) นักเทววิทยาสมัยกลางถือว่า ความรู้ทางเทววิทยาส่วนมากเกิดจากวิวรณ์ แต่ความรู้ที่เกี่ยวกับพระเจ้าที่น่าจะสมบูรณ์นั้นได้มาจากเหตุผลตามธรรมชาติ
นักปรัชญาสมัยต่อมาถือว่า การค้นหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าโดยไม่ต้องอาศัยคัมภีร์ ศรัทธา ประเพณีนิยม สำนักสอนศาสนา เป็นต้น จุดเป็นเทววิทยาธรรมชาติ ศาสนาธรรมชาติ (natural religion) เทวธรรมศาสตร์ (Thedicy) หรือที่ค้านท์ (Kant) เรียกว่า เทววิทยา (อดิศักดิ์ ทองบุญ, 2540: 202)
ที่มาของความรู้ของศาสนาเทววิทยาไม่ได้มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางของความรู้ มนุษย์ไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ทั้งหมด เพราะมนุษย์มีขอบเขตจำกัดของความรู้เกี่ยวกับสิ่งสูงสุด การพยายามรู้จักพระเจ้าได้มาจากการอ้างเหตุผลจากบทพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นการอ้างเหตุผลแบบภววิทยา, การอ้างเหตุผลแบบจักรวาลวิทยา และการอ้างเหตุผลแบบอันตวิทยา แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถทำให้รู้จักพระเจ้าได้ จึงต้องใช้ศรัทธาเพื่อเป็นการก้าวข้ามเหตุผลในการรู้จักสิ่งสูงสุด มนุษย์จะต้องตอบสนองความรักนั้นด้วยความไว้วางใจหรือศรัทธา
ความสำคัญของเทววิทยา
1. สัญชาตญาณการจัดระบบของภูมิปัญญา
สติปัญญาของมนุษย์ไม่ได้พึงพอใจแค่ได้สะสมหรือรวบรวมข้อมูล แต่ยังพยายาม
หาทางประมวลและจัดระบบความรู้ที่ได้มาให้เป็นเอกภาพ จิตของเราไม่พึงพอใจเพียงแค่ได้พบความจริงบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์ และจักรวาลเท่านั้น ยังต้องการรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสิ่งต่างๆดังกล่าว ทั้งยังต้องการจัดระเบียบให้กับสิ่งที่ค้นพบ จิตไม่ได้พอใจกับส่วนเสี้ยวความรู้ที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ยังต้องการจัดระบบความรู้ และหามติกับข้อสรุปออกมา
2. ความไม่เชื่อที่แผ่ซ่านไปทั่วในยุคนี้
อันตรายที่คุกคามคริสตจักรในยุคนี้ ไม่ได้มาจากวิทยาศาสตร์แต่มาจากปรัชญา ซึ่ง
ส่วนใหญ่รับแนวคิดแบบอเทวนิยม (Atheism) อไญยนิยม (Agnosticism) สรรพเทวนิยม (Pantheism) เป็นต้น ทำให้คนไม่เชื่อพระเจ้า ฉะนั้นการศึกษาเทววิทยาจึงจำเป็นต้อง “เตรียมให้พร้อมเสมอ” เพื่อจะตอบได้ว่าเรา “เรามีความหวังเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด” ต้องมีความเชื่อที่เป็นระบบ เพื่อที่จะปกป้องความเชื่อของเราได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
3. ลักษณะของคัมภีร์
เกิดจากการรวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ มาสร้างให้เป็นระบบอันสมเหตุสมผล
มีหลักคำสอนบางเรื่องที่มีใจความครบถ้วนในพระคัมภีร์ตอนเดียว แต่ไม่มีเรื่องไหนที่มีใจความครบถ้วนทุกระบวนความภายในตอนเดียว หลักคำสอนที่มีใจความครบถ้วนภายในตอนเดียว เช่น ความหมายของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ คุณลักษณะของพระคำของพระเจ้าในสดุดี เป็นต้น ซึ่งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อที่เกี่ยวข้องได้อย่างครบถ้วนก็จริง แต่ไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดสำหรับหัวข้อนั้นๆ ฉะนั้น ถ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดในหัวข้อหนึ่งหัวข้อใด เราจำเป็นต้องรวบรวมคำสอนเกี่ยวกับหัวข้อนั้นจากคัมภีร์ตอนอื่นๆ มาประมวลให้เป็นระบบที่สมเหตุสมผลและสอดคล้องกัน
4. การพัฒนาอุปนิสัยแบบคริสเตียน
เกิดจากความเชื่อที่แท้ อันเกี่ยวโยงทั้งภูมิความรู้ การใช้เหตุผล และเจตจำนงนั้น มีผล
ต่อบุคลิกและความประพฤติ คนเราจะทำตามสิ่งที่เราเชื่อจริงๆ ไม่ใช่ตามสิ่งที่เราแกล้งเชื่อ ความเชื่อจะช่วยชี้นำการตรึกตรองประเด็นปัญหาต่างๆทางจริยธรรมและกระตุ้นให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์หรือมีแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อนมนุษย์ พระคริสต์ เป็นต้น นอกจากนี้ความเชื่อยังให้แรงจูงใจที่จะขวนขวายดำเนินชีวิตให้ได้ตามมาตรฐานนั้นด้วย
5. เงื่อนไขของการรับใช้พระเจ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ที่เชื่อพระเจ้าจะสามารถรับใช้พระเจ้าและปกป้องความเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ จะ
สามารถต้านรับการโจมตีของมารซาตาน และรุดหน้าไปอย่างมีชัยชนะตามที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เราในพระคริสต์ได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าเราเชื่ออะไร
ศาสนากับเทววิทยา
ในความหมายดั้งเดิม เทววิทยาอาจมาพร้อมกับประสบการณ์ทางศาสนาตั้งแต่อุบัติการณ์ของมนุษย์จนถึงปัจจุบัน การเกิดขึ้นของเทววิทยาในยุคกลางแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะตีความการโต้ตอบเพื่อแก้ไขความผิด การจัดระบบคำสอน ตลอดจนการไตร่ตรอง ซึ่งอย่างหลังนี้มีความหมายว่า “การไตร่ตรองความเชื่อหรือข้อความเชื่อซึ่งพระศาสนจักรสั่งสอนประการหนึ่ง และประสบการณ์ความเชื่อของชาวคริสต์ ซึ่งเป็นผู้กระทำการไตร่ตรองนั้นอีกประการหนึ่ง” ในการทำสังคายนาวาติกันครั้งที่สองได้มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่ศึกษาเทววิทยาโดยตรงว่า “ให้ทำการศึกษาค้นคว้าโดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทางสาขาวิชาต่างๆร่วมแรงร่วมความคิดในเรื่องการวิจัยทางเทวศาสตร์ ขณะที่ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยก็อย่าละเลยการติดต่อกับยุคสมัยของตนเอง”
สรุปความว่าเทววิทยาเป็นความพยายามที่จะทำการศึกษาศาสนาอย่างเป็นระบบ เพื่อการดำรงความจริงทางศาสนาไว้อย่างเหมาะสมท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก และอาจถือว่าเป็นงานชั้นอรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษของศาสนาพุทธ แม้ว่าเนื้อหาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม
ความเหมือนและความต่างระหว่างปรัชญากับศาสนา
บทความครั้งก่อนได้บรรยายความหมายของปรัชญาและพัฒนาการทางปรัชญาไปแล้ว อาจมีผู้สงสัยว่าปรัชญาและศาสนามีความเหมือนกันและต่างกันอย่างไร บทความนี้จะนำเสนอความหมายของศาสนาและจะชี้ให้เห็นความเหมือนและความต่างระหว่างศาสนากับปรัชญา ดังนี้
ความหมายของศาสนา
การศึกษาศาสนาอย่างเป็นวิชาการเริ่มต้นมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยศึกษาได้จากงานวิจัยเชิงสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาของอาจารย์คนสำคัญๆ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในการศึกษาเรื่องนี้ เราพบว่าการให้คำจำกัดความคำว่า “ศาสนา” กลายเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาโดยเฉพาะ เพราะศาสนามีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์คือ ค่อนข้างคลุมเครือ ไม่ชัดเจนเป็นขาวเป็นดำ
ในตอนแรก การให้คำจำกัดความ “ศาสนา” เป็นการให้ความหมายเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าและการที่มนุษย์พยายามสื่อสารกับพระเจ้าเป็นสำคัญ แต่ต่อมาการศึกษาศาสนากว้างมากขึ้นและมิได้จำกัดเฉพาะศาสนาเอกเทวนิยมซึ่งมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของความเชื่อ นักวิชาการตะวันตกเริ่มหันมาศึกษาศาสนาทางตะวันออกและรับรู้ถึงอุดมการณ์สูงสุดของศาสนาที่ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้าเสมอไป เช่น ศาสนาพุทธ เป็นต้น เมื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับศาสนามากขึ้น ข้อมูลในการพิจารณาเขียนคำจำกัดความก็เปลี่ยนไป เดอร์ไคม์ ซึ่งเป็นนักมานุษยวิทยาให้คำจำกัดความว่า “ศาสนาคือระบบรวมว่าด้วยความเชื่อและปฏิบัติเพื่อความสัมพันธ์ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์” (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์และคณะ, 2546: 4)
แต่กระนั้นการให้คำจำกัดความคำว่า “ศาสนา” ยังประสบความยุ่งยากเนื่องจากขาดข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นร่วมกัน จากการประชุมคณะกรรมการผู้วิจัยศาสนาและความเชื่อตามโครงการวิจัยพื้นฐานจิตใจของประชาชนชาวไทย สาขาวิชาปรัชญา สภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2506 ได้มีการตกลงกำหนดโครงสร้างหรือองค์ประกอบของศาสนาไว้ 5 ประการ ซึ่งพอจะใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาศาสนาได้ดังนี้ คือ
1. พระพุทธเจ้า พระสมณโคดมในพุทธศาสนา พระนบีมุฮัมมัดในศาสนาอิสลาม เป็นต้น
แต่มีกรณียกเว้นอีกเหมือนกันคือศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นศาสนาเต็มรูปแบบ แต่ไม่มีศาสดาที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ คำสอนของศาสนาพราหมณ์ได้รับมาจากพระเจ้า แต่ถ่ายทอดผ่านฤษีในช่วงสมัยต่างๆกัน รวบรวมเข้าเจิมเป็นคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น
2. มีหลักธรรมคำสอนที่มีการระบุชัดเจนเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาและกฎเกณฑ์การปฏิบัติ
เช่น ในศาสนาพุทธมีการจารึกคำสอนลงเป็นหมวดหมู่เรียกว่า พระไตรปิฎก ศาสนาคริสต์มีคัมภีร์ไบเบิล เป็นต้น
3. มีหลักความเชื่อเป็นปรมัตถ์ เช่น ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสอนเรื่องพระเจ้า
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูสอนเรื่องปรมาตมัน ศาสนาพุทธสอนเรื่องนิพพาน เป็นต้น
4. มีพิธีกรรม คือพิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงหลักการของศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์มีพิธีรับศีล
มหาสนิท ศาสนาพุทธมีพิธีบรรพชาอุปสมบท เป็นต้น
5. มีสถาบันทางศาสนา หมายถึง ศาสนสถาน คือที่ตั้งอันเป็นสถานที่ที่ศาสนิกมาพบปะ
กันเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา เช่น โบสถ์ วิหารในพุทธศาสนา สุเหร่าในศาสนาอิสลาม เป็นต้น ศาสนสถานเหล่านี้จะไม่มีความหมายหากขาดผู้ประกอบพิธีกรรม ดังนี้จึงต้องมีองค์กรของศาสนา คือ พระภิกษุฝ่ายหนึ่งกับฆราวาสอีกฝ่ายหนึ่ง (ในพุทธศาสนา) แต่สำหรับศาสนาอิสลามแม้ไม่เน้นความแตกต่างระหว่างนักบวชกับฆราวาส แต่ก็จะมีโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม ซึ่งเป็นผู้รู้ในศาสนา เป็นองค์กรในศาสนาเช่นกัน (เรื่องเดียวกัน, หน้า 4-
คำว่า ศาสนา โดยความหมายของศัพท์แปลว่า คำสอน หมายถึง คำสอนที่เกี่ยวกับความประพฤติทางกาย วาจา และใจ หรือเป็นคำสอนเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดทั้งในปัจจุบันและรอดในโลกหน้า (ทวี ผลสมภพ, 2535: 7)
ที่มาของความรู้ทางศาสนาไม่จำกัดขอบเขตเฉพาะประสาทสัมผัสเท่านั้น แต่ศาสนาได้ขยายขอบเขตถึงความจริงที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติและประสบการณ์ทางศาสนาจึงจะสามารถรู้ได้ ซึ่งความจริงทางศาสนามีขอบเขตกว้างกว่าวิทยาศาสตร์ จึงไม่อาจใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาได้ ต้องอาศัยวิธีการเฉพาะของแต่ละศาสนา ซึ่งมักได้แก่ การปฏิบัติบำเพียรทางใจ เช่น การนั่งสมาธิ วิปัสสนา หรือศรัทธา เป็นต้น
พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติเพื่อการเอาชีวิตรอด ตัวอย่างเช่น พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางการสอนเพื่อประโยชน์ 3 ระดับ คือ (เรื่องเดียวกัน, หน้า 9)
1. ระดับต้น หมายถึง การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ประโยชน์ในปัจจุบัน และทรงวางแนวปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบัน 4 ข้อ คือ
1. มีความขยันทำการงาน (อุฎฐานสัมปทา)
2. รู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้ (อารักขสัมปทา)
3. มีเพื่อนเป็นคนดี (กัลยาณมิตตตา)
4. เลี้ยงชีวิตอย่างสม่ำเสมอไม่ฟุ้งเฟื้อเกินไปและไม่ขัดสนจนเกินไป (สมชีวิตา)
โดยสรุปแล้วก็ได้ใจความว่า ใครก็ตามถ้าต้องการประโยชน์ในปัจจุบันหรือต้องการมีชีวิตเป็นสุขในปัจจุบันก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางทั้ง 4 ข้อนี้ให้ครบถึงจะเกิดผล ถ้าปฏิบัติเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ผลก็จะไม่สมบูรณ์
2.ระดับกลาง หมายถึง การมีชีวิตเป็นสุขในโลกหน้า หลังจากตายไปแล้ว ทาง
พระพุทธศาสนาเรียกว่าประโยชน์ในสัมปรายภพ คนเราเมื่อมีความสุขในปัจจุบันแล้ว บางคนก็อยากมีความสุขในโลกหน้าอีก เพื่อบรรลุความประสงค์พระพุทธองค์จึงทรงวางแนวทางปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขในโลกหน้า 4 ข้อ คือ
1. มีศรัทธา (สัทธาสัมปทา)
2. มีศีล
3. บริจาคทรัพย์ทั้งภายในภายนอก (ปริจาคสัมปทา)
4. มีปัญญารู้ความจริงของชีวิต (ปัญญาสัมปทา)
รวมความว่าใครต้องการประโยชน์ในชาติหน้าก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางทั้ง 4 ข้อนี้
ให้ครบ ชีวิตของผู้นั้นก็เป็นอันอยู่รอดได้ในชาติหน้าอย่างแน่นอน
3.ระดับสูงสุด ทางพระพุทธศาสนา หมายถึง ตัดรากเหง้าของสังสารวัฏ กล่าวคือ ไม่เกิด
ไม่ตายกันอีกต่อไป พระพุทธศาสนาถือว่าตราบใดที่ยังมีการเกิด ความทุกข์ทรมานก็จะยังมีอยู่ตราบนั้น ถ้าจะไม่ให้มีทุกข์กันอีกต่อไปก็ต้องไม่เกิด การที่จะมองเห็นการมีชีวิตอยู่ในโลกเป็นทุกข์นั้นจะต้องใช้ปัญญามอง ถ้าไม่ใช้ปัญญามองก็จะมองไม่เห็นความทุกข์ของการเกิด เมื่อมองไม่เห็นความทุกข์ของการเกิด ก็จะอยากเกิดอีกร่ำไป เช่น ปุถุชน เรามองไม่เห็นความทุกข์ของชีวิต เพราะฉะนั้น ปุถุชนจึงอยากเกิดอยู่ร่ำไป จะอย่างไรก็ตามเมื่อไม่อยากเกิดหรืออยากจะดับทุกข์ทั้งมวลตามคำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้ทรงวางแนวทางปฏิบัติเพื่อบรรลุประโยชน์สูงสุดไว้ 8 ประการ คือ
1. เห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ)
2. ดำริชอบ (สัมมาสังกับปปะ)
3. เจรจาชอบ (สัมมาวาจา)
4. ทำการงานชอบ (สัมมากัมมันตะ)
5. พยายามชอบ (สัมมาวายามะ)
6. เลี้ยงชีวิตชอบ (สัมมาอาชีวะ)
7. ระลึกชอบ (สัมมาสติ)
8. ตั้งใจชอบ (สัมมาสมาธิ)
แนวทาง 8 ประการนี้ ก็คือ มรรคมีองค์ 8 ที่เรารู้จักกันนั่นเอง ใครก็ตามที่ต้องการประโยชน์สูงสุด จะต้องปฏิบัติตามแนวทางทั้ง 8 ประการนี้ เมื่อปฏิบัติได้ครบถ้วนแล้ว ย่อมกำจัดกิเลสที่จะนำไปเกิดในภพต่างๆ ได้ เมื่อไม่เกิดเสียอย่างทุกข์บรรดามีในโลกเราก็ไม่ต้องเจอ เป็นอันว่าเราเอาตัวรอดได้ในสังสารวัฏทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า ถึงพระนิพพาน
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาก็สอนให้ได้รับประโยชน์ในระดับต่างๆตามความต้องการของแต่ละคน โดยสรุปแล้ว คำว่า ศาสนาแปลว่า คำสอนที่ให้แนวทางปฏิบัติเพื่อความสุขในระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง
ความเหมือนและความต่างระหว่างศาสนากับปรัชญา
ในความหมายทั่วไป ปรัชญาของใครก็คือบทสรุปความเชื่อมั่นสำคัญๆของผู้นั้น ปรัชญาเป็นเรื่องของการสอบสวนถึงธรรมชาติของความจริงซึ่งดำเนินไปเกินขอบเขตของประสบการณ์โดยทะลุเข้าไปยังแก่นของชีวิตและโลก ทั้งนี้เพราะปรัชญามีเป้าหมายหลักอยู่ 2 อย่าง คือ (1) เพื่อเข้าใจถึงโครงสร้างของโลกเชิงทฤษฎี และ (2) เพื่อค้นหาและประกาศวิถีชีวิตที่ดีที่สุด นับตั้งแต่เฮราไคลตุสจนถึงเฮเกลหรือแม้มาร์กซ์ ปรัชญายังคงรักษาเป้าหมายทั้งสองอย่างนี้ไว้ตลอด คือไม่เป็นทฤษฎีล้วนๆหรือเป็นปฏิบัติทั้งหมด แต่แสวงหาทฤษฎีเอกภพเพื่อที่จะใช้เป็นฐานทางศีลธรรม โดยนัยนี้ศาสนาจึงต้องการให้ผู้นับถือปฏิบัติตามขั้นตอนของระบบคำสอน เพื่อนำไปสู่การเข้าถึงสิ่งที่ดีที่สุดอันเป็นเนื้อหาของความจริงแท้ๆ และทำให้มีความรู้สึกว่าได้สัมผัสอยู่กับความจริงนั้นทั้งหมดหรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่เป็นเรื่องของพุทธปัญญาล้วนๆ ในปรัชญา อันที่จริงแล้วก็คือเรื่องของประสบการณ์ตรงที่เข้าถึงได้ด้วยศาสนา
สิ่งแรกที่สังเกตเห็นเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างปรัชญากับศาสนา คือ ปรัชญาเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจธรรมชาติและโครงสร้างความจริงอย่างวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนศาสนาเป็นเรื่องของการเข้าถึงความจริงนั้นโดยตรง จึงเน้นให้ลงมือกระทำหรือปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี
อีกประการหนึ่ง ปรัชญาเป็นเรื่องของการใช้ความคิด เหตุผลหรือความรอบรู้อย่างกว้างขวาง ส่วนศาสนาก้าวไกลไปกว่านั้น คือใช้ความรู้คิด (knowing) ความรู้สึก (feeling) และความตั้งใจ (willing) อันเป็นการศึกษาภาวะทั้งหมดของมนุษย์ มนุษย์มิใช่เพียงสัตว์ที่มีเหตุผลเท่านั้น หากยังค้นหาความหมายของหลักปฏิบัติ มาตรฐานหรืออุดมคติในการปฏิบัตินั้นๆด้วย และมนุษย์ค้นคิดให้กำเนิดวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และมีศีลธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง ในทางความคิด มนุษย์ก็เสาะแสวงหามาตรฐานความจริง ในความรู้สึกหรืออารมณ์ เขาเสาะแสวงหาความงาม และในกิจกรรม เขาพยายามที่จะบรรลุความดีในความสำนึกทางศาสนา มนุษย์มีความรู้สึกว่าเขากำลังสัมผัสอยู่กับอุดมคติหรือคุณค่าต่างๆอันมีอยู่แล้วเป็นนิรันดร์
นอกจากนี้ปรัชญาต้องการที่จะเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง แต่ศาสนาเน้นอารมณ์อย่างเต็มที่ ความกลัว ความศรัทธา ความผิดหวัง ความสมหวัง ฯลฯ เหล่านี้เป็นลักษณะทั่วไปของศาสนา ปรัชญามีลักษณะใจกว้าง ยับยั้งชั่งใจ สงสัยและใช้เหตุผล แต่ศาสนาให้ความสำคัญแก่ความเชื่อมั่นและลักษณะสิทธิธันตนิยม (dogmatic) โดยเฉพาะเกี่ยวกับคำสอนหลักๆ
แม้จะมีความแตกต่างกันดังกล่าว ปรัชญาและศาสนาก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ศาสนาต้องอาศัยปรัชญาเพื่อความมั่นคงและก้าวหน้าในทฤษฎีคำสอน ฝ่ายปรัชญาก็ต้องอาศัยศาสนาเป็นจุดเริ่มต้น คือความอยากรู้อยากเห็นถูกกระตุ้นโดยศาสนา กล่าวคือความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในการดำรงชีวิต เป็นต้น ดังนั้น จึงไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างศาสนากับปรัชญา เพราะปรัชญาจะวิพากษ์เฉพาะความเชื่อที่ไร้เหตุผลหรือความคิดที่ผิดและปราศจากวิจารณญาณเท่านั้น เบคอนกล่าวไว้อย่างสมเหตุสมผลว่า “ใจคนที่มีปรัชญาเพียงเล็กน้อยจะทำให้เขาเหินห่างจากศาสนา แต่เมื่อมีปรัชญาลึกซึ้งจริงๆจะทำให้เขาหันมายังศาสนา” (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์, 2546: 13-14)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)